วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โพสต์นี้ก่อนประกาศผล!

ว้าววววว! นี่ก็เที่ยงคืนแล้ว ในที่สุดก็มาถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2554 ซะที
วันนี้เป็นวันสำคัญอะไรรู้ไหมเอ่ย?

วันนี้เป็นวันประกาศผลแพทย์วิจัยศิริราช!

ต้องมานั่งลุ้นกันว่าเราจะเป็น 25 คนใน 80 คนหรือเปล่าที่ได้ไปต่อ
หรือจะต้องเป็นคนที่เหลือที่ผิดหวังแล้วกลับไปนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบ GAT/PAT

(ทำไมรู้สึกว่ามีแนวโน้มได้ผิดหวังเยอะจังเลยอะ T_____________T)

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การเรียน กีฬา และความรัก [ตามคำเรียกร้อง]

มีคนเรียกร้องให้เรามาเขียน ก็เลยจัดให้ (ผนวกกับว่ามันร้างโคตรๆ แล้วเรื่องที่อยากจะบ่นก็เยอะแยะ) เริ่มตรงไหนก่อนดีหละ เอาแบบเล่าไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน คงเขียนง่ายดีมั้ง แต่อ่านเข้าใจรึเปล่าก็ไม่รู้

ขอแบ่งเป็นส่วนๆ ละกันเลียนแบบ Pe3z

การเรียน
ตอนนี้ก็อยู่ ม.๖ แล้ว เป็นจุดเลี้ยวของชีวิตคือต้องเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย ถ้าอยากเท่ห์หน่อย ก็ต้องเข้าสถาบันดังๆ ซึ่งตัวผมเองค่อนข้างจะ strict เรื่องนี้นะ (แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็เอาคณะในฝันไว้ก่อน) ปีนี้ก็เลยคิดว่าคงต้องหนักหน่อยหละนะเรื่องเรียน ชิวมา ๒ ปีแล้ว ปีนี้อดทนดูซักตั้งจะเป็นอะไรไป ซึ่งในช่วงแรกๆ ก็ดูเหมือนจะไปได้ด้วยดี คงอาจเพราะมีแรงกดดันจากภายนอกเยอะมากๆ ก็เลยผ่านมาได้
ตอนนั้นผมยังทำเลขของ ม.๖ ไม่ได้เลย ประมาณว่าไม่มีอะไรอยู่ในหัว แต่เพื่อนเค้าเรียนกันมาหมดแล้ว ก็เลยคิดว่าเอาวะ กูก็ต้องทำให้ได้ ตามเพื่อนให้ทัน เลยเริ่มอ่านเองครับแล้วก็ทำโจทย์ในที่สุดก็ตามเพื่อนทันจนได้
แต่พอผ่านมาช่วงหลังๆ ก็เริ่มเหลวเป๋ว เริ่มคิดว่าตัวเองชิวมากขึ้น ก็เลยมีบางช่วงที่การทำโจทย์ การอ่านหนังสือมันขาดไป ทำให้ไม่สามารถจบเนื้อหา ม.๖ ได้ในเวลาที่ตั้งไว้ และการสอบที่สมัครไว้ก็ใกล้เข้ามาทุกทีจนเหลือเวลา ๑ เดือน (การสอบที่ว่านี้คือ แพทย์ มข. คนสอบเป็นหมื่นๆ แต่ตูไม่ทำห่าอะไรเลย) ท้ายที่สุดแล้วผมก็ต้องใช้ไม้ตายแบบหมาจนตรอกคือแบ่งอ่านเป็นอาทิตย์ละวิชา จบไม่จบช่างมัน แต่ขอให้ในอาทิตย์นั้นอ่านวิชานั้นๆ ให้เต็มที่ไปเลย ผลที่ออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะหลายวิชาก็ไม่จบ วิชาที่จบก็ยังทำโจทย์ได้ไม่มากพอ (ยังไม่คล่องขั้นเทพนั่นเอง) พอไปสอบ ผลสอบก็คือไม่ติดครับ คะแนนก็ไม่สวยเท่าไหร่ จะมีเยอะโดดเด่นขึ้นมาหน่อยก็คือภาษาอังกฤษที่ยังใช้บุญเก่าทำได้อยู่ (คะแนนอังกฤษยังถือว่าน้อยมากอยู่ ถ้าเอาไปเทียบกับคนที่เค้าสอบติด) แต่การสอบไม่ติดมันก็ไม่ได้บั่นทอนกำลังใจผมไปมากนัก อย่างน้อยผมก็ไม่มัวมาคิดว่ามีคนเทพกว่าเราอยู่กี่คน คนนี้เทพหวะ เราคงเทพเท่าเค้าไม่ได้ ผมกลับมองว่าในเมื่อมันมีเทพ เราก็น่าฟิตแล้วก็รีบๆ เทพซะทีถ้าอยากจะไปตามฝัน อาจจะพูดแบบเข้าข้างตัวเอง แบบโลกสวยๆ ได้ว่าการที่ผมสอบแพทย์ มข. ไม่ติดมันทำให้ผมแกร่งขึ้นมาอีกนิดหน่อย ผมเริ่มจริงจังกับการทำโจทย์มากขึ้น เริ่มอุดรอยโหว่ตัวเองตรงส่วนที่รู้ว่ายังอ่อนอยู่ ที่เห็นได้ชัดก็คงเป็นวิชาเคมีที่อย่างน้อยก็พออุดพื้นฐานไปได้บ้าง เพราะจากคะแนนสอบ CU-SCI ที่คะแนนพุ่งถึง ๙๐/๑๐๐ ก็คงบอกอะไรตัวเราเองได้บ้าง คะแนนสอบครั้งนี้เกือบทำให้ผมทะนงตัวไปแล้ว แต่ก็โชคดีนะ ที่ได้ลองทำโจทย์ PAT2 ดูก่อนทำให้รู้ว่าเคมีคือส่วนที่เราทำไม่ได้เยอะที่สุดแล้ว จึงเป็นเหตุให้ต้องฟิตต่อไป เพื่อคะแนนที่สวยงาม จิตของผมมุ่งมั่นกับการสอบ GAT/PAT รอบตุลามาก เพราะมันเหมือนกับการตัดสินชะตาชีวิตว่าจะได้เรียนหมอ ฬ รึเปล่า ช่วงก่อนวันสอบจะมาถึงผมทำโจทย์ทุกวัน จนแทบจะบ้าคลั่งกับข้อสอบ ๑๐๐ กว่าข้อ เพียงอาทิตย์เดียวผมก็ทำข้อสอบไปแล้วกว่า ๕๐๐ ข้อ (ทำได้จริงๆ ทั้งหมดไม่ถึง ๗๐%) ซึ่งมันบอกอะไรผมได้หลายอย่างมาก ผมพิจารณาคะแนนเฉลี่ยตัวเอง (ซึ่งค่า max ที่ ๒๐๐+ min ที่ ๑๖๐+ สำหรับคะแนนเต็ม ๓๐๐) พิจารณาข้อที่เราทำไม่ได้ ทำให้ผมสามารถหาจุดอ่อนของตัวเองได้ แล้วก็อุดมันได้ไวขึ้น แต่มันก็เยอะเหลือเกิน จนตอนนี้ก็ยังอุดไม่หมดซะที หลังจากที่ผมฟิตทำโจทย์อยู่ทั้งอาทิตย์ (บ้าขนาดเอาไปนั่งทำตอนเรียน รด.) จู่ๆ การสอบก็เลื่อนไป เพราะว่าเกิดน้ำท่วม เลื่อนออกไปไกลซะด้วย ทำให้ผมเสียดายเล็กน้อยที่การตัดสินชะตาครั้งนี้ยังไม่จบลงไปเสียที แต่ในความเสียดายนั้นก็มีความรู้สึกดีๆ อยู่บ้างคือเราได้เตรียมตัวมากขึ้น มีโอกาสได้คะแนนสูงขึ้นกว่านี้ เมื่อการสอบเลื่อนออกไป ผมจงเริ่มวางแผนให้ตัวเองใหม่อีกครั้งหนึ่ง จากที่วางแผนว่าจะทำโจทย์แบบ mix ก็เปลี่ยนไปทำเฉพาะเรื่องก่อน ง่ายๆ คือกลับมาอุดรอยรั่วของตัวเองอีกครั้งหนึ่งนั่นแหละ ซึ่งตอนนี้ก็พยายามทำอยู่ พูดถึงเรื่องสอบซะเยอะ พูดเรื่องอื่นเกี่ยวกับการเรียนของผมบ้างดีกว่า ในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปสอบสัมภาษณ์ในคณะวิศวะของฬมาด้วย เป็นโควตาของเด็กโอลิมปิก คือไม่มีสอบ ขอแค่คุณได้รับคัดเลือกให้ไปเข้าค่าย สสวท. ก็สมัครได้แล้วก็มาสัมภาษณ์ สำหรับตัวผมเองเลือกสาขาเคมีเป็นอันดับหนึ่งทั้งๆ ที่ตัวเองได้เหรียญคอมพิวเตอร์มา ตอนไปสัมภาษณ์ก็รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทีแรกคิดว่าจะไม่ได้สาขาที่เลือกไปแล้ว เสือกฟลุ๊คซะงั้นมีชื่ออยู่ในสาขาเคมี ตอนนี้ถ้าผมแค่ไปรายงานตัวก็จะได้เข้าไปเป็นนิสิตฬเต็มตัว อะไรๆ ดูเหมือนจะดีไปหมดสำหรับชีวิตผม แต่มันก็ยังไม่ถึงฝันที่ผมวาดไว้ ความฝันที่ผมสร้างขึ้นยังคงไม่เป็นความจริง คงต้องใช้เวลาบ่มเพาะอีกยาวนาน
(ปล. วันนี้เกรดพึ่งออก ได้ ๔.๐๐ แฮะ ๘๐ เป๊ะ ๒ วิชา ฟลุ๊คสุดๆ ขอบอก)
จบพาร์ทการเรียนแบบงงๆ


กีฬา
สำหรับในปี ม.๖ นี้บอกตรงๆ ว่าผมแทบไม่ได้แตะกีฬาเลย จะมีเล่นก็แค่ช่วงตอนเรียนพละเท่านั้น ทำให้ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอแบบขั้นสุด เล่นบาสเกตบอลแค่ ๕ นาทีก็รู้สึกหอบแดกแล้ว ถึงทักษะบางอย่างจะยังอยู่ แต่แรงมันก็ไม่มีเหมือนก่อนแล้วจะอะไรก็ลำบาก ซึ่งผมก็มีเหตุผลนะที่ไม่ค่อยได้เล่นกีฬา หลายคนอาจจะมองมันเป็นข้ออ้างก็ไม่เป็นไร แต่มันก็คือความคิดโลกสวยอย่างหนึ่งของผมแหละ เหตุผลที่ว่าคือผมอยากจะประหยัดพลังงานให้มากที่สุดในวันหนึ่งๆ ทุกวันนี้ผมนอนน้อยมากๆ ถึงมากที่สุด เฉลี่ยแล้วหนึ่งอาทิตย์ไม่เคยเกิน ๔ ชั่วโมง ซึ่งหลายคนคงทราบดีว่าเวลานอนน้อยๆ นั้นจะเหนื่อยง่ายแค่ไหน ยิ่งวันไหนไม่ได้กินข้าวเช้า แค่เดินเปลี่ยนคาบเรียนก็แทบจะเป็นลมแล้ว จะเอาแรงที่ไหนไปเล่นกีฬา กลับบ้านมาก็ต้องทำโจทย์ไม่ก็อ่านหนังสือ ถ้าขืนเอาแรงไปเสียอีก กลับบ้านมาคงได้นอนสลบอย่างเดียวแหงๆ



ความรัก
ส่วนนี้อาจเป็นส่วนที่รันทดที่สุดในชีวิตของผม เป็นส่วนที่มักจะทำให้ผมทุกข์ใจได้เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มีเหตุผลก็ดี เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลก็ดี เอาเป็นว่ามันค่อนข้างแย่ๆ มากๆ สำหรับชีวิตผมด้านนี้ ถ้าเขียนสถิติของผมเรื่องความรักออกมา เปอร์เซ็นต์ของความสำเร็จก็จะเป็น ๐.๐๐% เพราะงั้นผมไม่ขอพูดในส่วนนี้มากนัก เพราะถ้าให้สาธยายมันจะยาวมากตั้งแต่เมื่อหลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ยาวกว่าไอ้เรื่องการเรียนเมื่อกี้อีกหลายเท่า เรียกว่าแทบจะเป็นนิยายได้เลย

ชีวิตด้านนี้ของผมพูดสั้นๆ ได้ว่า "ถ้าผมจีบผู้หญิงทั้งโรงเรียนแล้วลงเอยแบบเดียวกันหมด ไม่ว่าผมจะมองทางไหนก็จะเจอแต่คนที่ผมชอบอยู่กับแฟนเค้าที่ไม่ใช่ผม"

ทิ้งท้าย: ชีวิตผมแม่งมีแต่เรื่องเรียนหวะ, อ่านยากแฮะคราวนี้, เรียงเรื่องกากอีกแล้ว

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทฤษฎีที่มาของความกล้า

(นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความคิดเห็นที่ยังไม่ถูกพิสูจน์โดยการทดลอง การตั้งชื่อหัวข้อว่า 'ทฤษฎี' นั้นอาจยังไม่ถูกต้องมากนัก หากมีอะไรผิดพลาด หรือทำให้ไม่ถูกใจ จึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
'กล้าหาญ' คำนี้มีความหมายแปรผันไปตามเหตุการณ์ที่ถูกใช้

ถ้าคุณทำอะไรบางอย่าง ที่คนอื่นไม่คิดจะเสี่ยงลงมือทำ คุณอาจจะเป็นคน 'กล้าหาญ'
ถ้าคุณทำอะไรบางอย่าง ที่ไม่มีใครเริ่มทำ คุณอาจจะเป็นคน 'กล้าหาญ'
และบางที ถ้าคุณทำอะไรบางอย่าง ที่คนอื่นไม่ทำกัน คุณก็อาจจะเป็นคน 'กล้าหาญ'

จะเห็นได้ว่าคำว่า 'กล้าหาญ' บางทีก็ไม่ได้ถูกใช้อธิบายความดีของคนๆ หนึ่ง อย่างเช่นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยกตัวอย่างไป ถ้าอ่านดูดีๆ จะพบว่าคำว่า 'กล้าหาญ' ในประโยคนั้นกลับทำหน้าที่แทนคำว่า 'หน้าด้าน' ที่น่าสงสัยนั้นไม่ใช่ความเหมาะสมของการใช้คำว่า 'กล้าหาญ' ไม่ใช่ความยืดหยุ่นของความหมายของคำๆ นี้ แต่ประเด็นที่น่าสงสัยคือพฤติกรรมที่แสดงออกมาของคนที่ถูกเรียกว่า 'กล้าหาญ' หากยังไม่เข้าใจ ลองอ่านทบทวนสามประโยคด้านบนอีกสักรอบ แล้ววิเคราะห์ดูใหม่ ถึงแม้ว่าความหมายของคำว่า 'กล้าหาญ' ในแต่ละประโยคดังกล่าวจะไม่เหมือนกันตามที่ได้บอกไปแล้วนั้น แต่จะเห็นว่าพฤติกรรมของคนที่ถูกเรียกว่า 'กล้าหาญ' ในทุกประโยคนั้นมีความคล้ายคลึงกัน ทุกคนล้วน
ทำในสิ่งที่ไม่มีคนทำ
และสิ่งที่น่าสงสัยต่อไปอีกซึ่งทำให้เกิดเรื่องราวตอนต่อไปที่ผมจะพูดถึงคือ 'แล้วทำไมคนเหล่านี้ถึงได้แสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกมา'

ก่อนอื่นขอให้ผู้อ่านลองเชื่อแบบผมดูก่อน ว่า 'คนเราไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ หากเป็นสิ่งที่ผู้กระทำ ตั้งใจทำ ไม่ว่าจะโดยสมัครใจหรือไม่สมัครใจก็ตาม ย่อมได้ประโยชน์จากการกระทำนั้นๆ เสมอ' หลายคนอ่านแล้วคงตะหงิดใจว่าแล้วคนที่ 'เสียสละ' หละ สำหรับคนที่ขัดใจ ให้ลองมองอย่างนี้ดูว่า เวลาเราถามใครสักคนหนึ่งว่าทำสิ่งๆ หนึ่งไปทำไม คนๆ นั้นจะมีคำตอบให้เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม อย่างไปถามคนที่ 'เสียสละ' เพื่อชาติที่รักว่าทำไปทำไม เขาก็อาจจะตอบมาว่า 'ความสุข' นั่นแหละครับ คือประโยชน์ที่เขาได้รับคือ เขามีความสุข
(หมายเหตุ: แต่เหตุการณ์หนึ่งที่จะทำให้สิ่งที่ผมเชื่อนั้นอธิบายไม่ได้ก็คือ คำถามที่ได้คำตอบว่า 'ไม่รู้')

และที่อยากขอให้เชื่ออีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องของคนที่ยอมสละชีวิตตัวเอง ไม่สนว่าชีวิตตัวเองจะเป็นอย่างไร อันนี้ผมขอให้อนุมานว่าเป็นภาวะโรคจิตอย่างหนึ่งก็แล้วกันครับ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วคนที่ยอมสละชีวิตตัวเอง มักจะคิดว่าชีวิตของตนเองนั้นด้อยค่ากว่าของผู้อื่น หรือไม่มีค่าเลย ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นภาวะซึมเศร้าอย่างหนึ่ง
(หมายเหตุ: สำหรับการเสียสละเพื่อความรักนั้น อาจไม่จัดว่าเป็นภาวะทางจิตก็ได้ แต่ก็ถือว่าผู้ที่กระทำได้ประโยชน์อยู่ดี)

หลังจากที่พยายามทำใจเชื่อนิดๆ ในสิ่งที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ก็จะพบว่าคนที่ทำตามเงื่อนไขที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะได้ประโยชน์เสมอ และพฤติกรรมกล้าหาญของบุคคลๆหนึ่งนั้น ย่อมเกิดจากความไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน จึงเป็นสิ่งที่ตั้งใจทำ ถ้าผู้อ่านเชื่อในสิ่งที่ผมได้บอกไปแล้วนั้น จะตอบได้เลยว่า ดังนั้นคนที่แสดงพฤติกรรมกล้าหาญ ก็ต้องได้ประโยชน์จากสิ่งที่ได้กระทำลงไปอย่างแน่นอน แล้วประโยชน์ที่ว่านั้นคืออะไรหละ?

ถ้าคิดง่ายๆ ก็คงเป็นสิ่งที่จะตามมาในภายหลัง ตัวอย่างเช่น ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ กิเลศต่างๆ นาๆ แต่ถ้าเป็นในกรณีที่มันไม่มีอะไรจะเสียแล้วหละ? ความกล้ามาจากไหน สิ่งที่ผมขอให้เชื่อสามารถอธิบายได้ครับ ว่าเหตุใดในกรณีที่ไม่เหลืออะไรให้เสีย ไม่มีอะไรให้ได้ แล้วความกล้ามาจากไหน

ผมพูดไปแล้วว่าพฤติกรรมกล้าหาญนั้นเกิดจากความตั้งใจของผู้กระทำ มีการคิดไตร่ตรองก่อนที่จะลงมือทำ ดังนั้นลองจินตนาการถึงความคิดของบุคคลที่แสดงพฤติกรรมกล้าหาญตอนที่บุคคลนั้นกำลังไตร่ตรองดูครับ สิ่งที่ควรจะเป็นความคิดของบุคคลนั้นๆ ก็คือ 'จะทำ หรือไม่ทำ' 'ทำแล้วจะทำได้ไหม' อะไรประมาณนี้ แต่ว่าสิ่งที่เราจะพิจารณาจริงๆ นั้นคือพฤติกรรมที่ได้แสดงออกไปแล้ว คือช่วงของตอนที่บุคคลนั้นๆ ได้กระทำในสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้ว เพราะฉะนั้นแสดงว่าบุคคลดังกล่าวย่อมตัดสินใจว่า 'จะทำ' และ ต้องเชื่อมั่นว่า 'ทำแล้วต้องได้' ซึ่งการที่เชื่อว่า 'ทำแล้วต้องได้' 'ทำแล้วต้องสำเร็จ' นั้นก็คือประโยชน์อย่างหนึ่งที่ผู้แสดงพฤติกรรมกล้าหาญดังกล่าวจะได้รับนั่นเอง

จากที่กล่าวมายืดยาวหลายคนอาจจะงง ว่าผมเขียนเรื่องนี้ทำไม ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยว่าต้องการจะสื่ออะไรออกมา แต่ทั้งหมดนั่นก็คือความคิดของผม ซึ่งยังคงมีอีกหลายๆ อย่างที่ความคิดของผมยังคงอธิบายไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งบางประการที่เกิดจากการแสดงพฤติกรรมกล้าหาญออกไปโดยไม่มีความมั่นใจว่าตัวเองจะทำได้

แต่โดยสรุปแล้วจริงๆ ผมจะสื่อว่า 'ไม่มีความกล้าหาญใดๆ ที่เป็นการเสียสละโดยแท้จริง'

จบคำชี้แจง!

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทุกวันนี้เขาเลี้ยงลูกกันยังไง?

'อาจารย์ข้อนี้ตอบอะไร?'
ผม : 'ตอบ ข. หรือเปล่าครับ'
'ใช่ ต้องตอบ ข. เนี่ยแหละ เพราะมันเป็นเรื่อง....'
'ไม่จำเป็น'

'ผมไปเรียนกรุงเทพมา'

ถ้าเก่งนัก.... ก็ไปอยู่เลยสิครับ กทม. จะมายมปรักอยู่ รยว. ทำไม
รู้ครับว่าเก่ง... แต่ลองเอาหัวแข็งๆ ของมึงมาเทียบกับลูกตะกั่วไหม อะไรจะแข็งกว่ากัน
ที่ไม่ไป กทม. คงอยู่คนเดียวไม่ได้ใช่ไหมครับ พ่อแม่ต้องประคบประหงม ไอ้ลูกแหง่!

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มันช่างเหนื่อยที่ใจ

ถึงแม้ช่วงนี้ผมจะนอนน้อยเอามากๆ
เฉลี่ยแล้วในหนึ่งอาทิตย์นอนวันละ 3 ชั่วโมงเศษๆ
ตื่นไปโรงเรียนก็งัวเงียแค่ช่วงเช้า ส่วนที่เหลือนั้นก็กระปรี้กระเป่าเหมือนเคย
ความรู้สึกเหนื่อยกายมันไม่ค่อยมีอยู่เท่าไหร่
แม้บางทีจะรู้สึกง่วงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดกับจะทำอะไรไม่ไหว

การอ่านหนังสือเป็นไปอย่างเนิบๆ เหมือนไม่ได้รีบอะไร
สมองนั้นถูกใช้ไปตามปกติ ยังคงไม่มีเรื่องให้คิดแบบดูดพลัง

ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติหมด ชีวิตประจำวันเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


แต่ทำไมมันถึงรู้สึกเหนื่อยอย่างอื่นแทน กำลังกายนั้นมีพร้อม แต่กลับไม่พร้อมที่จะทำอะไรต่ออะไรใหม่ๆ
ทำไมช่วงนี้มัน 'เหนื่อยใจ' จัง

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ว่ากันด้วยเรื่อง "แย่งที่เรียน"

เรื่องนี้เหมือนจะเคยเป็นประเด็นร้อนใน Facebook Chat ของผมอยู่สักพักหนึ่ง รวมถึงใน Group ที่ผมอยู่ด้วย ว่าจริงๆ แล้วการ "แย่งที่เรียน" "กั๊กที่เรียน" มันสมควรจะทำหรือไม่ ไอ้ตัวผมเองก็ชอบออกความเห็นนู่นนี่ไปเรื่อย ก็เลยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปเยอะพอตัวอยู่เหมือนกัน พอดีว่าวันนี้ไปไล่อ่านบล็อกคนอื่นมาแล้วรู้สึกว่าอยากเขียนบ้างจัง ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไร ก็เลยขอเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง

(จริงๆ แล้วเรื่องนี้มีส่วนมาจากที่โรงเรียนด้วยครับ เลยอยากบ่นนิดหน่อย)
สำหรับการเปิดประเด็นขึ้นมาใหม่ครั้งนี้ ก็อย่างที่ว่าไปในวงเล็บครับว่ามีสาเหตุมาจากที่โรงเรียนนิดหน่อย (หรืออาจจะส่วนใหญ่) ก็เลยอยากเขียนครับ อยากระบายให้หลายๆ คนที่มองกันอีกมุมอยู่ ได้ลองหันมามองอีกมุมกันดูบ้างว่าเป็นอย่างไร

ก่อนอื่นผมขอสมมติให้นายกอเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นสูงมากๆ เลย ตลอดสามปีของการเรียนชั้น ม.ปลาย นายกอทุ่มเทให้กับการเรียน นานกอทำโจทย์ทุกวัน ทบทวนบทเรียนต่างๆ ทุกวัน จนถึงปีสุดท้าย ในการสอบแต่ละครั้งนายกอพบว่าข้อสอบมันช่างง่ายดายเหลือเกิน ไม่ว่าโจทย์ข้อไหนๆ ก็เคยเจอมาหมดแล้ว จึงไม่แปลกที่จะสอบได้ทุกๆ ที่ที่ได้ไปสอบ

ในขณะเดียวกันก็มีคนอีกคนหนึ่งคือนายขอที่ตลอดสามปีของการเรียน ม.ปลาย แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเล่นไปวันๆ ไม่ใส่ใจถึงอนาคตข้างหน้าว่ามีอะไรรออยู่บ้าง พึ่งจะมากระตือรือร้นได้ก็ตอนขึ้นปีสุดท้ายแล้ว สุดท้ายตอนสอบก็อ่านหนังสือไม่ทัน ในที่สุดก็ไม่ได้ที่เรียนที่ฝันเอาไว้

ก่อนจบ ม.๖ นายขอมาพูดกับนายกอว่ามึงมันเห็นแก่ตัว รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองจะสอบได้ ก็ยังไปสอบกั๊กที่คนอื่นเขา สุดท้ายก็ไม่เอา นายกอนายมันเหี้ยจริงๆ

ถ้าคุณเป็นนายกอ จะตอบนายขอว่าอย่างไร ถ้าคุณเป็นนายกอ จะรู้สึกอย่างไรที่นายขอมาพูดแบบนี้
สำหรับผม ถ้าผมเป็นนายกอ คงรู้สึกน้อยใจพิลึกนะครับที่กูพยายามแทบตาย กว่าจะมายืนตรงจุดนี้ได้ แต่มึงมันสวะดีๆ นี่เองวันๆ ไม่ทำอะไร ถึงเวลาไม่ได้อย่างที่ต้องการก็มาด่ากูเหี้ย ถ้าผมเป็นนายกอแล้วมีคนมาพูดกับผมอย่างนี้จริงๆ ผมคงตะโกนด่าว่าไอ้ควายกระแทกหน้าไปแล้ว

ก็นะครับเห็นอะไรกันบ้างหรือยัง เห็นอีกมุมหนึ่งของเรื่องนี้กันหรือเปล่า? ก็ลองคิดกันดูละกันนะครับว่าถ้าคุณเป็นนายกอ คุณจะรู้สึกอย่างไร แล้วก็ถ้าได้อ่านเรื่องนี้แล้วก็อยากให้คิดกันซักนิดก่อนที่จะทำตัวกันแบบนายขอนะครับว่า ก่อนไปว่าคนอื่น มองดูตัวเองหรือยัง?

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

น้ำตา รอยยิ้ม และความแค้น

ผมได้มีโอกาสไปแข่ง NUTOI#7 (คอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับชาติ ครั้งที่ 7) ณ จังหวัดพิษณุโลก
(เมืองสวรรค์หรือนรกก็ไม่รู้ ร้อนสุดๆ) ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร

ก็ขอข้ามการอธิบายอันยืดยาวถึงบรรยากาศและความรู้สึกของการแข่งขันนะครับ เพราะว่าถ้าให้ผมพล่ามให้อ่านเนี่ย คงยาวเป็นหน้าๆ เลยหละ เพราะเยอะจริงๆ บางอย่างก็อยากจะบ่น บางอย่างก็อยากจะชื่นชมกันแบบจัดเต็มๆ แต่ด้วยความไม่สะดวกบางอย่าง ก็อย่างที่ว่าไปครับ ขอข้ามเลยละกันข้ามไปยังจุด climax ของชีวิตผมเลยดีกว่า น่าจะดูลุ้นและสนุกมากกว่าเหตุการณ์ทั้งหมด (หรืออาจจะน่าเบื่อที่สุดหว่า าาาา)

ตอนนี้สมมติว่าการแข่งขันได้จบลงไปแล้ว การสอบหฤโหดสองวันติด (ที่มันโหดเพราะสอบเสร็จก็ให้ไปเที่ยวๆๆๆ จนเหนื่อย) ยุติลงด้วยความงงๆ และเหนื่อยล้าของเด็กหลายๆ คนที่ไปแข่ง

ในคืนเดียวกันของวันสอบเสร็จ หลังจากที่เหนื่อยมานานจากคอนเสิร์ตที่ทางเจ้าภาพจัดให้แบบเต็มๆ
ผมก็ตั้งใจว่า กูจะนอนละนะ ไหนๆ พรุ่งนี้ก็จะต้องไปลุ้นเหรียญ ก็ขอลุ้นเหรียญแบบตาตื่นๆ หน่อยละกันปรากฎว่า การเข้าสู่นิทราของผมวันนี้ไม่ปกติซะแล้วครับ เพราะว่าคืนนี้รุ่นพี่ (อยากแสดงตัวก็ตามสบายนะครับ เอิ้กๆ) ที่ติวให้พวกผมมานอนด้วยครับ ถ้ามานอนธรรมดาไม่เท่าไหร่ครับ แต่พีท่านเล่นมาไซโคเด็กทั้งห้องซะจนเครียดกันไปหมดเลย....

คนที่เขียนโปรแกรมก็คงจะรู้นะครับว่า ถ้า bug ทีนึงจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ถ้า bug นิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่สำหรับการแข่งขันปีนี้ ผมโดนไซโคมาตั้งแต่วันก่อนแล้วว่า test case มันโหดมาก มันไม่ได้ทำมาเพื่อคนที่คิดได้ แต่มันทำมาเพื่อคนที่คิดได้ และไม่ bug ด้วย ถ้า bug นิดเดียว คะแนนก็อาจจะกลายเป็น 0 ไปเลยก็ได้

พอเครียดกับ bug ของตัวเองกันเสร็จเรียบร้อย รุ่นพี่ท่านนี้ก็ได้ประเมินคะแนนของแต่ละคนให้ฟังว่าพรุ่งนี้จะได้ลุ้นเหรียญกันไหม ปรากฎผลออกมาว่า "พรุ่งนี้เราก็ไปลุ้นเหรียญกันดูนะครับ" คือพี่ท่านพูดประมาณจะแสดงความรู้สึกว่า พรุ่งนี้ก็ลองไปลุ้นดูนะ ว่ามึงจะได้เหรียญกันหรือเปล่า = =

ยิ่งไปกว่านั้น ยังพูดต่ออีกว่า ศูนย์ของผม (ไปเป็นทีมๆ แต่แข่งเดี่ยวๆ แต่ละทีมเรียกเป็นศูนย์ๆ) ยังมีสิทธิ์ลุ้นเหรียญทองแดงกันอยู่ มีคนได้คะแนนต่ำสุดในที่จะได้เหรียญเนี่ย คนนึง มีคะแนนเท่ากับสามคน แล้วก็มีคนที่มีสิทธิ์ลุ้นเหรียญเงินอยู่อีกคนนึง ซึ่งพี่เค้าเรียกคนที่ไปลุ้นเหรียญเงินคนนี้ว่า "ตัวละครลับ"

ก็เครียดกันต่อครับ คิดกันไปใหญ่โตว่าจะได้เหรียญหรือเปล่า ใครจะได้เหรียญอะไร และใครคือตัวละครลับ ลองคิดดูสิครับ ถ้าสมมติว่าเหรียญทองแดงมันออกไปแล้ว 5 เหรียญ คงปวดหัวตัวอะครับ ว่ากูเป็นตัวละครลับหรือเปล่า กูจะ bug แค่ไหน ตัวละครลับมันได้ทองแดงไปแล้วหรือยัง ผมว่าบ้าตายอะครับ สำหรับคนที่เป็นตัวละครลับ

เอาเป็นว่าข้ามความรู้สึกส่วนตัวของผมตอนนั้นไปเลยละกันครับ แบบว่าเครียดฝังลึกสุดๆ ไปเลย มันหลอกกู เรื่องจริง หรืออะไรกันแน่ !?!

แล้วในที่สุดวันรับเหรียญก็มาถึงครับ แดดยามเช้าไม่ค่อยสว่างนัก เช้าวันนั้นผมแทบลุกไม่ขึ้น เขานัดกินข้าวตอน 7 โมง รถออก 8 โมง ทั้งศูนย์ผมก็ตื่นกัน 7 โมง 7 โมงครึ่ง ไม่ได้กินข้าวกัน ออกมาเค้าก็ขึ้นรถกันหมดแล้ว : ) แต่สุดท้ายก็ได้เดินทางไปเข้าร่วมพิธีครับ (จะไม่ได้ได้อย่างไรก๊าน นน)

ก่อนจะมีการรับเหรียญก็มีการพูดนู่นพูดนี่นิดหน่อย เล็กน้อย แต่คงเพราะเจ้าภาพเห็นว่าเด็กคงลุ้นกันหนักหนาสาหัสมากหรืออย่างไรไม่ทราบ การประกาศเหรียญเลยเริ่มต้นเร็วกว่าที่ผมคิด ช่วงเวลาความเป็นความตาย การประกาศแต่ละครั้งถูกเดิมพันด้วยเวลาและความพยายามที่เสียไปก่อนจะมาแข่ง

ตามพิธีแล้ว เค้าจะประกาศเหรียญทองแดงไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จึงถึงเหรียญทอง เหรียญทองแดงเหรียญแรกๆ ก็เริ่มออกไปเรื่อยๆ ครับ แล้วในที่สุดก็มีชื่อของเพื่อนผมประกาศขึ้นติดกันถึงสองคน! เหลือเหรียญทองแดงอีกไม่มากให้ลุ้น แต่ที่สุดแล้วชื่อคนที่สามและสี่ที่เป็นเพื่อนผมก็ถูกประกาศขึ้นมา แต่ก็ไม่มีชื่อผมอยู่ดี เอาแล้วไง!!!

จนในที่สุดเหรียญทองแดงก็หมด แต่เหี้ยย ยยยย แล้ว เหลือคนให้ลุ้นอยู่ 2 คนได้ยังไงวะ นั่นแปลว่าหนึ่งในนี้มีตัวละครลับอยู่ 1 คน แล้วอีกคนหละ อีกคนคือคนที่ได้คะแนนน้อยที่สุดในคนที่มีสิทธิ์ลุ้น แต่ไม่ได้เหรียญไปแล้วงั้นหรือ = =? มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ยย ยย

การประกาศเหรียญเงินยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ผมลุ้นตัวโก่ง ว่าผมกับเพื่อนอีกคน ใครจะเป็นตัวละครลับ ถ้าผมเป็น เพื่อนผมอีกคนก็จะเป็นคนที่ไม่ได้เหรียญ ถ้าเพื่อนผมเป็นตัวละครลับ แน่นอนว่าคงเป็นผมที่ไม่ได้เหรียญ ซึ่งสุดท้ายแล้ว หลังจากที่ลุ้นตัวโก่ง กอดคอกันอยู่นาน ชื่อที่ถูกประกาศออกมา ก็เป็นชื่อเพื่อนของผมได้รับเหรียญเงินครับ!

ผมหน้าซีดเลยครับ ความรู้สึกตอนนั้นบอกได้เลยว่า fail สุดๆ เวลาและความพยายามที่ผมลงเดิมพันไปนั้น เสียไปหมดเลยงั้นหรือ สิ่งที่ทุ่มเทไป ความตั้งใจ ความมุ่งมั่นที่ใส่ลงไปเต็มที่ สูญหายไปหมดเลย เหลือเพียงความผิดหวัง สิ้นหวัง และท้อแท้อย่างบอกไม่ถูก ตอนนั้นผมรู้สึกได้ว่าน้ำตาผมมันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

ไม่นานหลังจากที่ผมรู้สึก fail อยู่ได้สักพัก รุ่นพี่ท่านนั้นก็ได้เข้ามานั่งข้างๆ ผม และ "พยายาม" จะปลอบผม บอกว่าลูกผู้ชายอย่าร้องไห้ ผมพยายามดีที่สุดแล้ว พี่เขาเข้าใจว่าผมทำเต็มที่แล้ว นี่ไม่ใช่สุดท้ายของชีวิต ผมยังมีวันข้างหน้าให้ฝันฝ่าอยู่ ผมอยากเป็นหมอ เหรียญคอมคงไม่มีผลอะไรอยู่แล้วแหละ
พี่เค้าก็พยายามพูดไปเรื่อยๆ และด้วยความเศร้าของผมในตอนนั้น ก็ได้แต่ถามถึงคะแนนตัวเอง ได้แต่ถามว่าถ้าผมเก็บสวะ มันคงจะดีกว่าผมคิดได้แล้วเขียน bug ใช่ไหม

ผมก็ร้องไห้ไป คนประกาศก็พูดต่อไป เหรียญเงินหมด ขึ้นเหรียญทองใหม่ พูดไปเรื่อยๆ คนที่ได้เหรียญทองก็เดินออกไปรับ ทีละคน ทีละคน จนมาสะกิดหูผม ตอนที่ผมได้ยินชื่อศูนย์ผมประกาศออกมาก่อน


จากนั้นนน นนน ก็ตามด้วยชื่อผม! ตกใจเลยครับตอนนั้น เห้ย! นี่กูโดนดักควายหรอเนี่ย แทบวิ่งลงไปรับเหรียญไม่ทันแหนะครับ (ก็เว่อร์กันไป) ตอนนั้นจากน้ำตา เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม จากความผิดหวังเปลี่ยนเป็นความภาคภูมิใจได้ไงไม่รู้ เหมือนคนที่ตกนรก พึ่งจะได้รีบอร์นย้อนกลับมาเกิดใหม่เลยครับ แต่ในความสุขที่ถูก transform มาจากความเศร้านั้น ก็ยังมีความเศร้าบางส่วนที่ทะลึ่งเปลี่ยนไปเป็นความแค้น ที่ฝังใจลืมไม่ลงจริงๆ กับการไซโคหมู่ขั้นเทพของรุ่นพี่ของผม น่าเจ็บใจชะมัด ที่ทำไมผมถึงไม่เชื่อใจตัวเองนะ

แต่ก็ช่างมันเหอะครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว สุดท้ายสำหรับผมมันก็ happy ending อยู่ดี ก็อยากจะบอกรุ่นพี่ท่านนี้ว่า ผมไม่ถือสาอะไรอยู่แล้ว แต่อยากจะขอบคุณด้วยซ้ำ จากใจจริงๆ เลย ถ้าไม่ได้พี่คนนี้มาคอยสอน ก็คงไม่มีภาพผมไปยืนห้อยเหรียญทองอยู่หน้าเวทีหรอก ขอบคุณจริงๆ ครับ :)

สุดท้ายก็ขอลาจบแบบไม่รู้เรื่องเลยก็แล้วกันครับ ขี้เกียจเขียนต่อแล้ว งง กับตัวเอง

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

ค่ำคืนแรกที่ยาวนาน

ตอนที่เขียนอย่นี้ก็เวลาราวๆ ประมาณตีสองสิบห้านาที ผมนั่งเขียนบล็อกนี้อยู่ในความมืด มีเพียงแสงไฟจากทางเดินบางๆ กับไฟส่องสว่างบนหน้าจอที่ทำให้พอมองเห็นอะไรรอบๆ ตัวอยู่บ้าง ตอนนี้เพื่อนๆ ในห้องหลับไปหมดแล้ว เหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังนอนไม่หลับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม รู้แค่ว่าพอหลับตาลงไป พยายามเท่าไหร่ สมองผมก็ไม่ยอมพักเสียที มีแต่เรื่องวุ่นวายวิ่งเข้ามายั้วเยี้ยไปหมดเต็มหัว รู้สึกเหมือนไม่อยากจะนอน รู้สึกเหมือนอยากจะทำอะไรต่อ ง่ายๆ ก็ไม่คือไม่ง่วงนั่นแหละ

ผมตั้งเวลานาฬิกาปลุกไว้ที่ตีห้าครึ่ง ตอนนี้ปาไปตีสองยี่สิบแล้ว ถ้าให้นอนตอนนี้เลยจริงๆ เอาแบบว่าฟุบหลับไปเลยก็เหลือเวลานอนอีกแค่ประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งน้อยมาก แต่ยังไงซะก็คงดีกว่าไม่ได้นอนเลยแบบตอนนี้ ผมได้แต่ภาวนาว่า ผมจะหลับลงเสียที หลังจากที่เขียนบล็อกนี้จบ T________T 


กูนอนไม่หลับโว๊ยย ย ยยย ยยยย!!!

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

รายการของสำหรับเข้าค่ายสอวน.#2ปี2554

พอดีว่าวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ผมต้องเข้าที่พักของที่ทางค่ายจัดไว้ให้แล้ว เท่าที่ทราบมาดูเหมือนว่าจะได้พักทที่เดิมที่เดียวกันกับปีที่แล้ว ก็คงไม่มีอะไรแปลกตา นอกจากจะได้ห้องหมายเลขใหม่ อาจจะไม่ได้อยู่ห้องฝั่งเดิมอะไรประมาณนั้น (อยากอยู่ห้องฝั่งเดิม) ซึ่งโดยปกติแล้วเวลาที่ผมจะไปเข้าค่ายค้างแรมที่ไหนเนี่ย ผมจะไม่ค่อยได้จัดของเองซักเท่าไหร่ เพราะว่าแม่จะเป็นคนจัดกระเป๋าให้ตลอด บางครั้งอยากได้อะไรก็บอก เดี๋ยวแม่ก็ใส่ไปให้ (ไม่ใช่ว่าลูกคุณหนูหรือว่าอะไรนะครับ แต่ถ้าจัดเองแล้วกระเป๋ามันจะรก O_o อ้างไปเรื่อย) ข้อดีของการที่แม่จัดไปให้คือ ของที่จำเป็นมีครบทุกอย่างครับ ไม่เคยขาดเลย (จะขาดก็แต่ครั้งที่ผมลืมบอกว่าต้องเอาอะไรไปบ้างก็เท่านั้นแหละ พวก unnecessary stuffs ทั้งหลายแหล่ แต่ก็ใช่ว่าการให้แม่ช่วยจัดกระเป๋าเดินทางมันจะไม่มีข้อเสีย อย่างแรกเลยที่มันเสียก็คือ มันทำให้ผมนิสัยเสีย จนปัจจุบันนี้ผมยังไม่เคยจัดประเป๋าเสื้อผ้าเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว และข้อเสียอีกอย่างของมันก็คือ เวลาแม่ผมจัดของให้แม่มักจะใส่ของลับๆ เป็น mystery thing มาให้ผมอยู่เรื่อย บางทีผมก็ได้ใช้บ้าง บางทีก็ไม่ได้ใช้เลย จนกลับมาบ้านพึ่งรู้ว่ามันมีอยู่ในกระเป๋าด้วย แล้วก็บางทีมันก็หายไปจากกระเป๋าเพราะเราไม่รู้ว่ามี เลยไม่ได้หยิบกลับมา

ด้วยเหตุหลายประการตามที่ผมได้กล่าวได้บ่นไปแล้วนั้น ทำให้วันนี้ผมตัดสินใจจะลองจัดกระเป๋าเสื้อผ้าเองดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต ว่ามันเป็นยังไง และการจัดของของผมต้องไม่ธรรมดา (หนักเป็นพิเศษ) ผมก็เลยกะว่าจะทำรายการของไว้ จดบันทึกไว้ซักหน่อย เผื่อขากลับจะเก็บของจะได้เช็คได้ว่าเราทำอะไรหาย หรือมีอะไรหายไปบ้างหรือเปล่า

ว่าแล้วผมเริ่มจัดของของผมเลยดีกว่า ไปค้างตั้ง 15-17 วัน (ณ ปัจจุบันก็ยังไม่ได้คำนวณวัน)

รายการเสื้อ-กางเกง
เสื้อ
     - เสื้อแขนสั้น
          - Maximus 2 ตัว
          - Billabong 1 ตัว
    - เสื้อแขนยาว
         - เสื้อเชิ้ต Body Glove 1 ตัว
   - เสื้อกล้ามใส่นอน
         - สีต่างๆ 3 ตัว
กางเกง
     - กางเกงขาสั้น
         - ใส่เรียน 3 ตัว
         - ใส่นอน 4 ตัว
    - กางเกงขายาว
        - ผ้า 1 ตัว
        - ยีนส์ 1 ตัว
รองเท้า
    - รองเท้าแตะ 1 คู่
    - รองเท้าผ้าใบ Nike สีน้ำตาล 1 คู่


รายการของสัพเพเหระ (ของเล่น)
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    - Notebook Toshiba 1 เครื่อง (อยากเปลี่ยนชิบหาย แต่ไม่มีตังค์)
    - Mouse 1 ตัว (ไม่มีคีย์บอร์ด T_____T)
    - USB Flashdrive 4GB(Kingson), 8GB(Kingmax) อย่างละ 1 ตัว
    - สาย LAN 1 เส้น (ความยาวไม่ได้วัด หัวสีฟ้า)
    - หูฟัง Nokia Bluetooth 1 ตัว
    - PSP 1 เครื่อง พร้อมสายชาร์จ และ Data-Link
    - โทรศัพท์ Nokia 5530 XP 1 เครื่อง พร้อมสายชาร์จ และ Data-Link
    - หูฟัง Nokia 1 ตัว
    - Stack timer 1 เครื่อง (เอาไปด้วย O_o)
    - นาฬิกา ODM (ปลอม) สีแดง 1 เรือน
ของทั่วไป
    - หนังสือโจทย์คณิตศาสตร์ 1 เล่ม
    - หนังสือคอร์สตะลุยโจทย์ อ.อรรณพ
    - Rubik's Cube New Type 1 ลูก

โอ้ว วว เสร็จแล้ว! เยอะเหมือนกันนะเนี่ย
ปล. ไม่ต้องถามถึงชุดชั้นในนะครับ จำนวนผมไม่ระบุ : )

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

[Python] Images Sucker !

Images Sucker ! ชื่อฟังดูน่ากลัวมาก แต่จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่โปรแกรมที่ทำงานในการช่วยผมดูดรูปจากชุด URL ที่ผมต้องการ โดยหลักการทำงานของมันนั้นง่ายๆ ครับ คือมันจะไปดึง URL จาก text file มาทั้งหมด แล้วก็ค่อยๆ เปิดทีละรูป แล้วก็เขียนไฟล์ลงบนเครื่องเรา

โปรแกรมนี้เขียนด้วย Python 2.6 ครับ แล้วก็ไม่ได้ทำเป็น exe มีแต่ source เอาไป compile กันเองละกันครับ สำหรับวิธีใช้ก็แค่สร้างไฟล์ชื่อ dataStorage.txt ไว้ที่เดียวกับ source เอา URL ที่ต้องการไปใส่ บรรทัดละ URL เสร็จแล้วก็สั่งรันโปรแกรมครับ โปรแกรมก็จะดูดๆๆๆๆๆ ตามชื่อของมันจนเสร็จ

เอ้อ ลืมบอกไป อันนี้รองรับแค่ .jpg นะครับ อยากได้ extension อื่น ก็ลองแก้ๆ ดูเอาเองละกันครับ
(ง่ายๆ เลยคือ search extension ที่ต้องการ ถ้ามีอยู่ใน URL ก็เอามาทำเป็น extension ของเราตอนเขียนไฟล์เลย)

ส่วนลิงค์ต่อไปนี้ก็คือ source ของโปรแกรม : http://pastebin.com/eu7k3ENA

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

[After Shock] หลังสอบปลายภาค

"...........
........................
.................................."

อารมณ์หลังสอบเสร็จแล้วของผมไม่มีอะไรเลยนอกจาก อารมณ์ว่างเปล่าแบบจุดหลายจุดๆ ด้านบน
(มันมีจุดแล้วจะว่างได้ยังไง เอ๊ะ - -?) ความรู้สึกหลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ มีเพียงแค่ "กูทำได้"
กับ "เชี่ย ข้อสอบผิดอีกแล้ว" แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น

แต่ความรู้สึกหลังออกจากห้องสอบก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ คุยกับเพื่อนได้สักประเดี๋ยวเดียวก็จางหายไป
"ข้อนี้มึงไม่มีคำตอบใช่ไหม" "เออใช่ กูคิดอยู่ตั้งนาน" แค่หลังบทสนทนาดังได้ยกตัวอย่าง ความรู้สึก
ที่ว่าก็หายไป ปมประเด็นปัญหาถูกคลี่คลาย สิ่งที่สงสัยไม่ใช่ว่าข้อสอบผิดแล้วตอบอะไร แต่ที่สงสัย
ก็คือ "มันผิดจริงๆ ใช่ไหม"

สอบเสร็จแล้ว? ทำอะไรต่อหละ? สำหรับใครหลายๆ คน ก็ต้องกลับบ้านไปเตรียมตัว เก็บข้าวเก็บของ
เตรียมย้ายฐานที่มั่นไปตั้งรกรากอยู่ที่ กทม. เพื่อเรียนพิเศษ ดูดความรู้มาให้ได้มากที่สุด เพราะพอ
เปิดเทอมใหม่ในครั้งนี้ ก็ ม.6 แล้ว ต้องเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ถ้าไม่พร้อม ที่ไหนก็คงไม่พร้อมจะปู
พรมแดงให้เราเดินเข้าไปเรียน

สำหรับผมในตอนนี้ ยังไม่มีภารกิจที่จะต้องเข้าไปเรียนพิเศษใน กทม. เหตุก็เพราะต้องไปเข้าค่าย
สอวน. คอม #2 ก่อนกินเวลาโดยประมาณ 15 - 17 วัน (ไม่ได้นับ) คอร์สเรียนพิเศษของผมเลยถูก
โอนไปกระจุกตัวกันอยู่ในเดือนเมษายนแทน (เพื่อนเรียน 2 เดือน ผมก็เหลือเวลาแค่ 1 เดือนเศษๆ)
ซึ่งไอ้การไม่มีภารกิจตามที่ได้บอกไป มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่างๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ว่าง
ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ก็ต้องไปขลุกตัวบ้าคอมอยู่ในค่ายแล้ว แต่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย
กับเวลาว่างที่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ

ซึ่งก็นำพาผมกลับมายังอารมณ์จุดๆ แบบด้านบน (เข้าเรื่องซะที) ถ้าเปรียบเทียบอารมณ์ของผม
ตอนนี้กับจุดแบบด้านบน มันคงคล้ายกันตรงที่ "จะจุดทำเหี้ยอะไรเยอะแยะ" (เข้าใจยากหน่อยนะครับ)
มันเป็นอารมณ์ที่สุดเซ็งจริงๆ เพราะมันส่งผลต่อพฤติกรรมทุกอย่างในทุกด้านของผม พอเกิด
อารมณ์แบบนี้ขึ้น จู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากทำอะไรขึ้นมาเฉยๆ สิ่งที่ตั้งใจจะทำ ถูกผัดวันประกันพรุ่งซะจน
มันกองรวมๆ กันสูงเท่าภูเขาแล้ว ตอนนี้เวลาที่เหลืออยู่ มันก็ไม่ match กับสิ่งต่างๆ ที่จะทำแล้ว

ผมจะไปโทษอารมณ์ตัวเองก็ไม่ได้ เพราะมันก็คือตัวผม จะหาสาเหตุ ก็คงไม่มีเวลาหา อย่างที่บอกไป
ว่าเวลามันไม่เหลือแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คงโทษตัวเอง ต่อจากนั้นคงต้องหาวิธีกำจัดไอ้อารมณ์บ้านี่
ออกไปจากช่วงเวลานี้ให้ได้ จะได้กลับเข้าสู่โหมดปกติ ทำอะไรเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเสียที

ป่อยย ยย นี่ผมบ่นอะไรมาเสียยืดยาวเนี่ย ไม่ประติดประต่อกันเลยแฮะ
ไม่เกี่ยวกับสอบปลายภาคเลยด้วย O_o
แต่สรุปก็คือ "มันคืออารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังสอบปลายภาค"

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

[Ubuntu] Reset root password!

Today, I found that one of PCs in the Math Department ICT room was installed "Ubuntu".
So, I tried to use it as I could. But I got a problem, I had no password for the root login.
I couldn't do anything if I had no root password.

Notice: If you're the linux user and you forget your root password, you won't able to do anything.

The internet is still useful, I could access to the internet. So I type "Reset Ubuntu root password"
in Google and then I found the solution.

Now, I've reseted the root password and changed it, so this computer is mind now.

Here's the solution.
1. Boot in Recovery Mode (Single-boot, just hold the shift key. Dual-boot, just press ESC key.)
2. When the menu is shown up, select "rootnetwork..."
3. Type "ls /home", the list of users in this PC will be shown up.
4. Suppose that I want to reset the password of user named "ackmin", I type "passwd ackmin".
5. After you type "passwd ....", the system will ask the new password, and you just type the new one
you want.
6. Then type "exit"
7. Reboot!

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทบทวน "สมดุลเคมี" ให้ตัวเอง

เนื่องด้วยว่าพรุ่งนี้ผมจะต้องสอบเรื่อง "สมดุลเคมี" และด้วยความที่ว่าไม่ได้ทวนมานานแล้ว
ก็อาจจะมีหลงๆ ลืมๆ อะไรไปบ้าง วันนี้เลยมานั่งอ่านนิดๆ หน่อย ซึมซับทฤษฎีบางอย่างที่
อาจจะขาดหายไป แล้วก็วนๆ ไปดูแนวโจทย์บ้างเพื่อความคล่องตัวในการทำข้อสอบ

สิ่งที่ผมพอจะสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คงไม่มีอะไรมาก และก็ไม่หวังว่าใครจะมาอ่าน เพราะว่าคง
จะอ่านเข้าใจยากนิดหน่อย เนื่องจากผมค่อนข้างจะสรุปจากสิ่งที่ผมยังไม่ค่อยรู้มากกว่า

สมดุลเคมี
เกิดได้เมื่อ
  • เกิดปฏิกิริยาผันกลับได้
  • เป็นสมดุลไดนามิก (เกิดปฏิกิริยาตลอดเวลา)
สมดุลเคมีคือ สภาวะที่อัตราการเกิดปฏิกริยาไปข้างหน้า กับผันกลับเท่ากัน (แค่นี้เท่านั้น)
ถ้าเรียนสมดุลเคมี ก็ต้องมีค่าคงที่สมดุล (K) ซึ่งหาได้จาก อัตราส่วนระหว่างผลคูณความเข้มข้น
ของผลิตภัณฑ์ยกกำลังเลขโมลกับผลคูณของความเข้มข้นสารตั้งต้นยกกำลังโมล
อาจจะเห็นภาพไม่ชัด ดูนี่ดีกว่า
สมมติปฏิกิริยาเป็น 2A + B -------> C + D
ค่าคงที่สมดุล (K) ของปฏิกิริยานี้จะเท่ากับ [C][D] / [A]^2[B]

ลืมบอกไป ค่า K ส่วนใหญ่มักไม่เอาสารที่มีสถานะเป็น solid, liquid มาคำนวณ เพราะ Conc. มาก

นอกจากค่าคงที่สมดุล (K) ธรรมดาแบบนี้แล้ว ยังมีค่า K รวม อีกด้วย ถ้ายังไม่ลืมมันต้องหา
เพราะว่าปฏิกิริยามีหลายปฏิกิริยา และมีค่า K เยอะแยะมากมาย

เงื่อนไขการหาค่า K รวมมีไม่มากแค่

  1. ถ้าเอาสมการมาบวกกันให้เอา K มาคูณกัน
  2. ถ้ากลับสมการค่า Kใหม่ จะเท่ากับ 1/Kเก่า
  3. ถ้าเอาเลขอะไรไปคูณทั้งสมการ ก็เอาไป K ไปยกกำลังเลขนั้นด้วย
ต่อจากเรื่องของค่าคงที่สมดุล (จริงๆ แล้วยังมีมากกว่านี้อีก แต่ว่ามันเกินหลักสูตรเราแล้วหละ)
ก็จะเป็นเรื่องหลักของเลอชาเตอริเอ (Le' Chaterie's Principle) ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า "ถ้าระบบถูกรบกวน
สภาวะสมดุล ทำให้สูญเสียสภาวะสมดุลไป ระบบจะพยายามกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิงที่
รบกวนระบบให้สูญเสียสภาวะสมดุล เพื่อปรับให้ระบบกลับเข้าสู่สภาวะสมดุลใหม่อีกครั้ง"
หรือสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ "ถ้าระบบถูกรบกวนให้เสียสมดุล ระบบจะทำตรงข้ามกับที่ถูกรบกวนให้กลับ
มาสมดุลใหม่อีกรอบหนึ่ง"
ตัวอย่างเช่น ถ้าให้ความร้อนกับระบบในสภาวะสมดุล ระบบจะพยายามลดความร้อนของระบบ
เพื่อปรับสมดุลให้ตัวเองใหม่อีกครั้ง

การรบกวนสมดุลใหญ่ๆ แล้วเค้าจะทำกันแบบนี้
  1. เปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสาร
           ถ้าเพิ่มความเข้มข้นของสารไหน ระบบก็จะพยายามลดความเข้มข้นของสารนั้น
           อย่างเช่นถ้าเพิ่มความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ ระบบก็จะพยายามลดความเข้มข้น
           ของผลิตภัณฑ์โดยการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้กลับมาเป็นสารตั้งต้น
  2. เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
           ถ้าอ่านในหนังสือจะแยกกรณีจนวุ่นวายไปหมด เอาเป็นว่าง่ายๆ เลย ถ้าเพิ่มอุณหภูมิ
           ระบบจะพยายามเอา energy มาใช้ เพื่อลดอุณหภูมิ และถ้าลดอุณหภูมิก็จะตรงข้าม
           หากยังไม่เห็นภาพตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น สมการ A + B + energy ------> C + D
           ถ้าเพิ่มอุณหูมิให้ระบบนี้ ระบบก็จะพยายามเอา energy มาใช้ ในที่นี้ก็คือดำเนินปฏิกิริยา
           ไปข้างหน้าเพื่อเอา energy มาใช้เปลี่ยนสารตั้งต้นให้เป็นผลิตภัณฑ์
  3. เปลี่ยนแปลงความดัน
           ถ้าเรียนเรื่องกฎของแก๊สมาจะรู้ว่า การเปลี่ยนแปลงความดัน ก็คือการเปลี่ยนแปลง
           ปริมาตรด้วย โดยถ้าเพิ่มความดัน ปริมาตรจะลดลง ในทางตรงข้ามถ้าลดความดัน
           ปริมาตรก็จะเพิ่มมากขึ้น หลักการรบกวนสมดุลโดยการเปลี่ยนแปลงความดันก็
           เหมือนกับข้ออื่นๆ คือระบบจะทำในทางตรงกันข้าม คือ ถ้าเพิ่มความดัน ระบบก็จะ
           พยายามลดความดัน ทีนี้ความดันเนี่ยมันขึ้นอยู่กับจำนวนโมลของแก๊สด้วย ดังนั้น
           การจะเพิ่มความดันก็คือการเพิ่มจำนวนโมล การลดความดันก็คือการลดจำนวนโมล
           คิดแบบง่ายๆ คือ ถ้าเราไปเพิ่มความดันให้ระบบ ระบบจะลดความดันลงโดยการ
           ดำเนินปฏิกิริยาไปในทางที่ได้จำนวนโมลของสารน้อยกว่า
           ตัวอย่างเช่น 2A + B ------->  C + D อย่างนี้ถ้าเพิ่มความดันให้ระบบ ระบบจะ
           ลดความดันโดยการเปลี่ยนสารตั้งต้นให้เป็นผลิตภัณฑ์ เพราะจะเห็นได้ว่าทาง
           ฝั่งซ้ายมีจำนวนโมลรวมกันได้ 2 + 1 = 3 ส่วนทางขวานั้นมีน้อยกว่าคือ 1 +1  = 2
           หมายเหตุ: การเปลี่ยนแปลงความดัน ความเข้มข้นของสารจะไม่เปลี่ยน เมื่อเทียบ
           กับสมดุลเดิม และทำได้แต่กับแก๊ส O_o
  4. การเติมก๊าซเฉื่อย
           อันนี้ไปอ่านเจอมา เลยเอามาแบ่งปัน โดยที่ไปอ่านมาเค้าอธิบายว่าถ้าเราเติม
           ก๊าซเฉื่อยลงไปในระบบจะทำให้ความดันของระบบโดยรวมเพิ่มขึ้น แต่ไม่ส่งผล
           ต่อสภาวะสมดุล
  5. เติมตัวเร่ง
           ตัวเร่งไม่ส่งผลต่อสภาวะสมดุล แต่จะทำให้เกิดสมดุลเร็วขึ้นเพราะปฏิกิริยาเกิดเร็วขึ้น
สำหรับแนวโจทย์ในเรื่องนี้มีไม่มาก ดังนี้
  1. ให้ค่า K หาความเข้มข้นของสารที่สภาวะสมดุล 
  2. ให้ความเข้มข้นสาร ให้หาค่า K
  3. หาค่า K รวมของสมการที่กำหนดจากสมการที่ให้
  4. บอกว่าถ้ารบกวนสมดุลแบบนี้ ปฏิกิริยาจะเป็นแบบไหน สารไหนเพิ่ม ลด ไม่เปลี่ยนแปลง
สองแนวแรก แค่รู้ว่า เริ่มต้น มีสารเท่าไหร่ เปลี่ยนไปเท่าไหร่ และที่สมดุลมีเท่าไหร่ก็พอ
แนวต่อมาก็ทำตามหลักที่ได้บอกไว้คือ สมการบวกกันเอา K มาคูณกัน
ส่วนแนวสุดท้ายนั้นก็อ่านตามที่ได้บ่นเอาไว้แล้ว ก็น่าจะเอาไปใช้ได้ไม่ยาก (ระวังโดนโจทย์หลอก)

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

[Note] อาชีพที่ข้าพเจ้าสนใจในอนาคต

เป็นใบงานของวิชาสุขศึกษา มีคำชี้แจงง่ายๆ คือให้นักเรียนเลือกอาชีพที่จะทำในอนาคต
แล้วบ่นเหตุผลลงไปให้ครูฟังด้วยเหตุผลที่เป็นไปได้ในโลกแห่งความเป็นจริง

อาชีพที่เลือก: แพทย์
สาเหตุที่เลือก:
ผมไม่ได้เลือกอาชีพแพทย์ เพียงเพราะผมมีคุณสมบัติเพรียบพร้อม ผมไม่ได้อยากประกอบอาชีพนี้เพียงเพราะผมชอบช่วยเหลือคน หรือรู้ตัวเอง ว่าเป็นคนที่ยอมเสียสละตนเองเพื่อคนอื่นแค่ไหน แต่ผมเลือกอาชีพนี้เพราะผมสนใจองค์ความรู้โดยรวมที่อาชีพนี้จะต้องมี โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ ทั้งเรื่องโครงสร้าง ระบบการทำงานต่างๆ เป็นสิ่งที่ผมปราถนาทีจะรู้ และเป็นสิ่งที่ผมจะได้รู้หากผมจะเป็นแพทย์ แต่ถึงแม้ว่าเป้าหมายที่จะเป็นแพทย์ของผมมีแรงผลักดันให้ไปถึงคือความอยากที่จะเรียนรู้ในเรื่องที่ผมสนใจก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะละเลยถึงคุณสมบัติพื้นฐานๆ อื่นๆ ที่แพทย์พึงจะมี ที่คนที่ควรจะเป็นแพทย์พึงจะมี ผมมิได้มองข้ามตรงส่วนนั้นไป ผมเพียงแต่ปล่อยมันไว้ก่อนเท่านั้น เพราะผมเชื่อว่าถึงแม้ในตอนแรกคุณสมบัติของผมอาจจะไม่เพรียบพร้อมพอที่จะเป็นแพทย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้ต่างๆ ประสบการณ์ต่างๆ ที่ผมได้รับมันจะซึมซับเข้าสู่ตัวผมและเติมเต็มคุณสมบัติที่ขาดไปของผมจนครบเองในที่สุด
อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากอาชีพนี้: (ตอนนี้ยังคิดไม่ออก มีเยอะเกินไป สรุปไม่ได้ซะที)
แนวทางในการป้องกันอันตราย: (ไม่มีข้างบน ก็ไม่มีข้อนี้ และไม่มีข้อข้างล่างอีกเช่นกัน)
เมื่อเกิดอันตรายขึ้นแล้วมีแนวทางแก้ไขอย่างไร: (ตามนั้น)

โน้ตไว้ก่อน ไม่ใช่ว่ากลัวจะลืมหรืออะไร แต่ว่าไหนๆ ก็ไม่ค่อยได้เขียนอะไรลงบล็อกอยู่แล้ว
ก็เอาไอ้นี่แหละ : )

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

Blog in 8(Mins)

เนื่องจากว่าเวลาผมค่อนข้างมีจำกัดในการเขียนบล็อก ด้วยสาเหตุหลายๆ ประการ ทั้งเรื่อง
เวลาการนอนที่เริ่มจะน้อยลงทุกวันๆ (จนผมแทบจะน็อค) รวมถึงความคิดที่แตกฉานในการ
เขียนบล็อกมันมักจะหมด และหยุดแตกกิ่งภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที ด้วยประการหละฉะนี้
ผมจึงต้องรีบๆ เขียนบล็อกนี้ให้มันจบไวๆ เสียก่อนที่จะเขียนต่อไม่ได้

เรื่องที่ผมจะเขียนในวันนี้เป็นเหมือนบันทึกโรคจิตของตัวผมเอง โดยโรคจิตในความหมายของผม
คือ อาการทางจิต บางอย่างที่มันเอฟเฟ็คต่อจิตใจของผมบางส่วน ซึ่งเป็นยังไง ก็ลองอ่านกันต่อดู

อาการของผมที่จะบันทึกในวันนี้ผมตั้งชื่อมันว่า "โรคกลัวโรงพยาบาล" โดยโรงพยาบาลที่ว่านั้น
ต้องเป็นโรงพยายาลที่มีบรรยากาศค่อนข้างแออัด คับแคบ และร้อน ไม่เหมาะสมที่จะเป็นโรงพยาบาล
สำหรับอาการของผมเมื่อเจอเข้ากับโรงพยาบาลแบบนี้คือ ผมจะรู้สึก คลื่นไส้ จะอาเจียนอย่างไร
ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน รู้สึกหวั่นๆ ระแวงอยู่ในใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นไหม เมื่ออยู่ในสถานที่แบบนั้น
ช่วงเวลาที่ผมอยู่ในโรคพยาบาลขณะที่โรคกำลังก่อตัวผมจะคิดได้เพียงอย่างเดียวว่า "ต้องออกไป"
จากที่นี่ให้ได้เท่านั้น ไม่งั้นผมคงตายแน่ เพราะการใช้อากาศของสถานที่นี้หายใจ ผมคาดเดาไม่ได้
เลยว่ามันปลอดภัยแค่ไหน สู้ออกไปสูดดมควันรถที่ด้านนอกจะรู้สึกดีกว่าหรือเปล่า

ซึ่งที่มาของโรคนี้ของผมคือวันนี้ผมมีโอกาสได้ไปโรงพยาบาลมา (ไม่ขอบอกเหตุผลละกันนะครับ)
เป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งถ้าถามผมว่ามันใหญ่ไหม ก็ใหญ่ดีนะครับ แต่การจัดวางโครงสร้าง
วางตึก วางแปลน ขอบอกได้เลยว่า ผมว่ามันห่วยไปหน่อยนะ มีอะไรก็ยัดๆ มารวมกัน จนแน่นไปหมด
ซึ่งเป็นสาเหตุให้โรคกลัวโรงพยาบาลของผมกำเริบ กว่าจะออกมาได้ ต้องทนทำสมาธิทำใจตัวเอง
ให้นิ่งอยู่ตั้งนาน พอได้ออกมาด้านนอก ถึงแม้จะมีแต่ควันรถ มลพิษ แต่ผมก็รู้สึกว่าสูดอากาศ
ที่ด้านนอกนี้มันสบายจมูกกว่าเยอะเลย

เวรกรรม... ใจจริงแล้วผมก็อยากจะเล่าต่ออีกหน่อยนึง ติดตรงที่เวลาตอนนี้หมดลงแล้ว
บล็อกใน 8 นาทีของผมคงต้องจบลงแค่นี้ ไว้ติดตามกันคราวหน้าละกันครับ (สัญญาเลยว่า
จะพยายามเขียนให้เร็ว และรู้เรื่องมากกว่านี้)
 
 
Theme by Diovo.com (Edited by Zenn)